ประสิทธิภาพของการเกาะถนนนั้นขึ้นกับหลายส่วนประกอบหลัก ได้แก่

1. - เนื้อยาง
2. - พื้นที่หน้าสัมผัส
3. - พื้นที่ร่องยาง

เนื้อยาง นิ่ม-แข็ง มีผลต่อการเกาะถนน

• เนื้อยางนิ่ม

  • มีการยึดเกาะถนนที่ดี เพราะเฟืองยางนิ่มๆ ขนาดจิ๋วฝังลงบนพื้นมาก
  • เมื่อยางถูกหมุน เฟืองขนาดจิ๋วจะช่วยผลักให้ตัวรถยนต์เคลื่อนที่
  • การยึดเกาะจะดี แต่เฟืองยางจะหลุดออกไป ทำให้สึกหรอเร็ว
  • ข้อเสีย: หากเนื้อยางนิ่มเกินไป เมื่อล้อเริ่มหมุน เฟืองนิ่มก็จะล้ม ไม่สามารถช่วยผลักรถยนต์ให้เคลื่อนที่ได้

• เนื้อยางแข็ง

  • เกาะถนนน้อยกว่า เสียงดัง แต่ทนทานกว่า

สรุป: ผู้ผลิตยางต้องหาจุดพอดีของเนื้อยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน

• นิ่มมาก: เกาะถนนดี เสียงเงียบ แต่สึกหรอเร็ว
• แข็งมาก: เสียงดัง ลื่น แต่ทนทานกว่า

🛞 พื้นที่หน้าสัมผัส และ ร่องยาง

• พื้นที่หน้าสัมผัส: ยิ่งสัมผัสมาก ยิ่งเกาะถนนมาก
• ร่องยาง: ช่วยรีดน้ำเมื่อถนนเปียก มีน้ำขัง
  • ข้อสังเกต: ยิ่งร่องรีดน้ำมาก พื้นที่หน้าสัมผัสของยางจะลดลง

💡 วิธีดูว่าเนื้อยางนิ่ม-แข็ง และประสิทธิภาพของยาง

ผู้ผลิตยางจะระบุตำแหน่งบนแก้มยางรถยนต์ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องดูคือ

1. Treadwear - ค่าการสึกหรอของยาง
   • ตัวเลขน้อย: เนื้อยางนิ่ม สึกหรอสูง อายุการใช้งานสั้น แต่เกาะถนนดี
   • ตัวเลขมาก: เนื้อยางแข็ง สึกหรอต่ำ อายุการใช้งานยาว แต่เกาะถนนน้อยกว่า
2. Traction - ความสามารถในการหยุดบนถนนลาดยางหรือคอนกรีต
   • ค่าดีที่สุด: AA, A
   • ค่าน้อยสุด: B, C
3. Temperature - ความทนทานและการถ่ายเทความร้อนของยาง
   • ค่ามากสุด: A
   • ค่าน้อยสุด: C

🚗 การเลือกยางรถยนต์ที่เหมาะสม

แอดได้จำแนกวิธีการเลือกยางตามการใช้งานไว้ดังนี้

• อันดับหนึ่ง: รถแข่งสนามที่ใช้ความเร็วสูง

  • Treadwear: ต่ำกว่า 200
  • Traction: AA, A

• อันดับสอง: รถบ้านที่ใช้ความเร็วสูง

  • Treadwear: 200-300
  • Traction: AA, A

• อันดับสาม: รถบ้านที่ใช้ความเร็วทั่วไป

  • Treadwear: 200-800
  • Traction: A, B